หลังจากยุคที่มีการแพร่กระจายของโรค COVID-19 อย่างกว้างขวางไปทั่วโลก การทำงานแบบ Work from Home และ Work from Anywhere กลายเป็นวิถีใหม่ที่หลายคนได้ปรับตัวและทำความคุ้นเคยกันดีในยุคนี้ แต่เมื่อโลกของการทำงานขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในปี 2025 สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือการมี Tech tools หรือตัวช่วยทางเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความสะดวก และความปลอดภัย ไม่ว่าคุณจะทำงานจากที่บ้าน คาเฟ่ หรือแม้กระทั่งระหว่างเดินทาง บทความนี้จะพามาสำรวจว่าในปี 2025 มีเครื่องมือเทคโนโลยีอะไรบ้างที่ชาว remote worker หรือสาย WFH ควรมีติดตัว เพื่อให้การทำงานลื่นไหล เพิ่มความสะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพสูงสุด
Notion
Tech tools ช่วยจัดระเบียบชีวิตที่รวบรวมหลากหลายฟีเจอร์ไว้ในที่เดียว ทั้งการจดบันทึก จัดหมวดหมู่ อัปเดตความคืบหน้าของงานชิ้นนั้น รวมทั้งใส่รายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ลิงก์ หรือข้อความลงไปได้ ซึ่งเหมาะกับการแพลนการทำงานในแต่ละวัน โดยเราสามารถปรับแต่งเจ้าฟีเจอร์เหล่านี้ให้สวยงามในแบบที่ต้องการได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใส่อิโมจิ เพลง คลิปวิดิโอ ไปจนถึงการจัดหน้าเองได้ว่าอยากให้ข้อมูลนี้อยู่ตรงไหน
นอกจากนี้ Notion ยังมีฟังก์ชันเสริมที่น่าสนใจ เช่น การรองรับการเขียนโค้ด การบันทึกไฟล์ออกมาเป็นไฟล์ PDF การแชร์ให้เพื่อนหรือทีมเข้ามาช่วยแก้ไขและคอมเมนต์ได้ และยังสามารถ import ไฟล์จาก Microsoft Word, Google Docs และ Trello เข้ามาเก็ยรวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียวเพื่อการจัดการที่ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ฟรีในเบื้องต้น แต่ถ้าต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การอัปโหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 5 MB จะต้องอัปเกรดเป็นเวอร์ชันที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Microsoft Teams
Microsoft Teams คือแพลตฟอร์มเพื่อการ “สื่อสารและการทำงานร่วมกันเป็นทีม” ที่รวมทุกเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการแชต พูดคุยผ่าน Video Conference การแชร์หน้าจอ หรือการจัดประชุมออนไลน์ นอกจากนี้ Microsoft Teams ยังมีฟีเจอร์ขั้นสูงที่ช่วยให้องค์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
- การสร้าง Team และ Channel เพื่อแยกการสนทนาตามโปรเจกต์หรือหน้าที่
- การแชร์ไฟล์และการทำงานร่วมกันบนเอกสาร Microsoft 365 แบบ real time
- การนัดหมายประชุมที่เชื่อมต่อกับ Outlook อัตโนมัติ
- การบันทึกประชุมเพื่อนำข้อมูลกลับมาทบทวนภายหลัง
- การกำหนดบทบาทผู้ใช้งานเพื่อลดความสับสนและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้ตรงจุด
ที่สำคัญ Microsoft Teams ยังรองรับการใช้งานทั้งบน Desktop, Mobile และผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ทำให้เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกจากทุกอุปกรณ์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ช่วยให้ทุกคนในทีมและองค์กรทุกขนาดสามารถจัดการการสื่อสาร การประชุม และการทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ ช่วยลดความผิดพลาดจากการตกหล่นของข้อมูล และทำให้การทำงานร่วมกันราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
Monday.com
เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารจัดการโปรเจกต์งาน (Project Management Tool) ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะเจ้าแพลตฟอร์มนี้เหมาะสำหรับทีมทุกขนาดที่ต้องการวางแผนงาน ติดตามความคืบหน้า จัดการทรัพยากร และสื่อสารร่วมกันในที่เดียว จุดเด่นของ Monday.com คือความยืดหยุ่นและการใช้งานง่ายพร้อมฟีเจอร์ครบครัน เช่น การตั้งสถานะและ deadline ของงานนั้น ๆ การทำงานร่วมกันผ่านการคอมเมนต์และแชร์ไฟล์ ระบบติดตามเวลา Automation เพื่อลดงานซ้ำซ้อน การตั้งเป้าหมายและ KPI การผสานการทำงานกับแอปยอดนิยม (Google Drive, Slack, Microsoft Teams ฯลฯ) รวมถึง Dashboard ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังรองรับการทำงานระยะไกลและหลายเขตเวลา (Time Zone)
Slack
Slack คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้สำหรับการสื่อสารทางธุรกิจ ที่มีฟีเจอร์หลัก ๆ 5 ข้อ ดังนี้
1. สื่อสารกับทีมจากระยะไกล: ไม่ว่าสมาชิกแต่ละคนจะอยู่ที่ไหน time zone ไหน ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา ผ่านการส่งข้อความ โทรด้วยเสียง Video call และแชร์เครื่องมือต่าง ๆ ร่วมกัน
2. จัดเก็บข้อมูล เอกสาร ต่าง ๆ ไว้ในแพลตฟอร์มได้: Slack มีระบบการจัดเก็บเนื้อหาทั้งหมดไว้อย่างถาวรแบบไม่มีวันหมดอายุผ่านหน่วยความจำตามแพ็กเกจที่คุณซื้อ และยังสามารถเรียกใช้งานข้อมูลพร้อม ๆ กัน เพื่อทำงานร่วมกับทีมได้อีกด้วย
3. มีห้องสนทนาแบบถาวร แยกตามหัวข้อได้: Slack สามารถเก็บบันทึกข้อมูลการสนทนาไว้ได้ถาวร พร้อมรองรับการสร้างห้องแชตแยกตามหัวข้อ เพื่อให้ทีมงานหลายทีมหรือหลายโปรเจกต์สามารถพูดคุยและทำงานร่วมกันได้สะดวกยิ่งขึ้น
4. เชื่อมต่อการทำงานกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้: เช่น Google Drive, Google Calendar และแพลตฟอร์มอื่น ๆ มากกว่า 2,000 รายการ ทำให้อำนวยความสะดวกในการทำงานได้ค่อนข้างดี และยังรองรับการใช้งานทั้งบนสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์อย่างครบครันอีกด้วย
5. ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม: มีมาตรการการรักษาข้อมูลความปลอดภัยทางไซเบอร์สูง สามารถป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ดี โดยจะปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานผ่านการเข้ารหัสและ Slack EKM
Miro
Tech tool แบบไวท์บอร์ดที่เปิดโอกาสให้ทีมทุกขนาดได้ร่วมกันคิด brainstorm ใส่ไอเดีย ออกความเห็น ออกแบบ และสร้างอนาคตร่วมกันได้อย่างไร้ข้อจำกัด เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมของคุณสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างราบรื่น ได้ทุกที่ ทุกเวลา แม้ว่าจะไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกันก็ตาม โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกเทมเพลตในการใช้งานได้อย่างหลากหลายมากกว่า 150 เทมเพลต ทั้งนี้คุณยังสามารถเห็นได้แบบ real time ว่าสมาชิกทีมคนไหนใส่ความคิดหรือข้อเสนอแนะอะไร
Miro มาพร้อมกับเทมเพลตและฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การทำงานร่วมกันในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
- Agile Workflows ที่ใช้สำหรับทีมที่ทำงานแบบ Agile ได้ โดยใช้ Kanban หรือ Scrum Board ในการอัปเดตงานและปัญหาแบบเรียลไทม์
- Mapping & Diagramming ช่วยให้การวางแผนและการนำเสนอขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ
- Voting ออกแบบมาเพื่อการโหวตอย่างสร้างสรรค์และโปร่งใส
- Meeting & Workshops ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Zoom, Webex หรือ Microsoft Teams เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างการประชุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำงานในยุค 2025 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “ที่ทำงาน” อีกต่อไป แต่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่มีเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสื่อสาร การทำงานร่วมกัน การจัดการโปรเจกต์ หรือการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้การทำงานจากที่บ้านหรือจากที่ไหนก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การเลือกใช้ Tech tools ที่รองรับการทำงานได้จริงและช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น แต่ยังช่วยสร้างประสบการณ์การทำงานที่สนุก คล่องตัว และลดข้อจำกัดของการทำงานทางไกลได้อย่างมาก เพราะฉะนั้น ปี 2025 จึงไม่ใช่แค่ปีแห่งการ Work from Home หรือ Work from Anywhere เท่านั้น แต่ยังเป็นปีที่สามารถ “ทำงานได้อย่างชาญฉลาด” ด้วยพลังของเทคโนโลยีอีกด้วย