เมื่อพูดถึงสายงาน Developer ตำแหน่ง Front-End, Back-End และ Full Stack ถือเป็นบทบาทหลักที่ทำงานร่วมกันในโลกของการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยที่แต่ละตำแหน่งจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจะมาเจาะลึกความแตกต่าง และทำให้เห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้นว่าแต่ละบทบาทมีหน้าที่ทำอะไร และเชี่ยวชาญในด้านใดบ้าง
Front-End Developer ก็คือ นักพัฒนาโปรแกรมที่ดูแลในส่วนของหน้าเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นและโต้ตอบ (Interact) ได้โดยตรงเมื่อกดเข้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้น ๆ หลายคนมักเรียกกันว่า “ส่วนหน้าบ้าน” โดยตำแหน่ง Front-End Developer ไม่ใช่เขียนแค่โค้ดเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบและสร้างหน้าตาของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้สวยงาม นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ เพื่อที่จะสร้าง User Experience (UX) ให้การใช้งานง่าย ลื่นไหลไม่ติดขัด และมอบความประทับใจให้กับผู้ใช้งานได้
1. เขียนโค้ดผ่านเครื่องมือ HTML เพื่อสร้างโครงสร้างของหน้าเว็บไซต์, CSS ใช้กำหนดรูปแบบ จัดวาง layout ตกแต่งหน้าเว็บไซต์ให้สวยงาม และ JavaScript เพื่อเพิ่มฟังก์ชันในการทำงานให้กับหน้าเว็บไซต์ ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีลูกเล่นและโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้
2. ออกแบบ User Interface (UI) ให้ใช้งานง่าย เหมาะสมกับทุกอุปกรณ์ ทุกหน้าจอ (Responsive Design) และเข้ากับแบรนด์ของธุรกิจ
3. ทดสอบระบบและแก้ไขข้อผิดพลาดบนเว็บไซต์ เพื่อให้โค้ดมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการอัปเดตระบบเพื่อให้ตอบรับกับพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
4. ทำงานร่วมกับ Back-End Developer เพื่อเชื่อมต่อส่วนหน้าบ้านกับส่วนหลังบ้านของเว็บไซต์
เมื่อ Front-End Developer คือนักพัฒนาที่คอยดูแลหน้าบ้านแล้ว ดังนั้น Back-End Developer ก็คือนักพัฒนาที่ต้องดูแล “หลังบ้าน” นั่นเอง ซึ่งเป็นระบบส่วนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน และเป็นส่วนที่ผู้ใช้งานมองไม่เห็นและไม่สามารถตอบโต้ได้โดยตรง ตัวอย่างก็ตั้งแต่ ฐานข้อมูล (Database) การกำหนดค่าเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงโค้ดต่างๆ ที่คอยควบคุมระบบหน้าบ้านอยู่
1. เขียนโค้ดที่ใช้ควบคุมการทำงานทั้งหมดของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ที่รวมทั้งการจัดการข้อมูลของผู้ใช้งาน การประมวลผลธุรกรรม การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลและระบบความปลอดภัย
2. กำหนดประเภทฐานข้อมูลที่เข้ากับการใช้งาน ออกแบบโครงสร้างตารางอย่างเป็นระบบ และเขียนโค้ดเพื่อจัดเก็บ ดึงข้อมูลมาใช้ หรือแก้ไขข้อมูลได้
3. สร้าง API (Application Programming Interface) เพื่อเชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น ระบบการชำระเงิน และระบบขนส่ง
4. คอยรักษาความปลอดภัยข้อมูลของผู้ใช้งาน ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ และรักษาประสิทธิภาพและความเสถียรภาพของระบบ
5. ทดสอบระบบหลังบ้านโดยละเอียด เพื่อหาข้อผิดพลาด และรีบแก้ไขให้กลับมาทำงานได้อย่างถูกต้อง
6. ทำงานร่วมกับ Front-End Developer นักออกแบบ และทีมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
Full Stack Developer ก็คือบุคคลที่รวมทั้ง Front-End Developer และ Back-End Developer ไว้ในคนคนเดียว นับเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้าน เพราะสามารถพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้ทั้งส่วนหน้าบ้านและหลังบ้าน ซึ่งการที่จะทำงานในตำแหน่งนี้จำเป็นต้องมีทักษะเฉพาะ นอกจากงานพัฒนาระบบแล้ว ยังต้องมีทักษะทางสังคมและการสื่อสาร เนื่องจากในบางครั้ง Full Stack Developer ต้องติดต่อและประสานงานกับลูกค้า ผู้ใช้งาน หรือทีมงานฝ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์นั้น ๆ ให้เข้าใจตรงกัน
เพราะในการทำงานจริง ในกรณีที่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ การให้ Full Stack Developer ทำงานทั้งหมดด้วยตัวเอง จะทำให้เกิดความเสี่ยงสูงว่าโปรเจกต์ที่ถืออยู่จะล่ม ล่าช้า หรืออาจทำเสร็จไม่ทันตามกำหนด ดังนั้นจึงต้องมีนักพัฒนาที่คอยดูแลในส่วนของหน้าบ้าน (Front-End) และหลังบ้าน (Back-End) โดยเฉพาะ และ Full Stack Developer ก็มีหน้าที่เชื่อมต่อระบบหลังบ้านและหน้าบ้านเข้าด้วยกัน คอยดูแลภาพรวมของโปรเจกต์ทั้งหมด และทำหน้าที่ช่วยพัฒนาและประสานงานระหว่าง Front-End กับ Back-End เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดจนโปรเจกต์เสร็จสมบูรณ์
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Developer สายไหน เส้นทางของการเป็น Developer ไม่ได้มีใครเหนือกว่าใคร ทุกตำแหน่งก็ล้วนแต่เป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานทางดิจิทัลที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพได้