ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวงการสายไอทีหรือไม่ แต่ชื่อของ DevOps อาจเคยผ่านหูผ่านตาคุณอยู่บ่อยครั้ง แต่แล้วเจ้า DevOps มันคืออะไรกันแน่ ทำงานอย่างไร และเกี่ยวข้องอะไรกับองค์กรสมัยใหม่หลายองค์กร ทำไมจึงต้องนำสิ่งนี้เข้ามาใช้ มาทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ ไปพร้อมกันในบทความนี้ได้เลย
DevOps มาจากการผสมผสานของคำสองคำ ซึ่งก็คือคำว่า “Development (Dev)” และ “Operations (Ops)” เป็นรูปแบบการทำงานที่รวมการทำงานของทีมพัฒนาซอฟต์แวร์(Development) และทีมปฏิบัติการ (Operations) เข้าด้วยกัน จากที่แต่เดิมทั้งสองทีมจะทำงานแบบแยกส่วนกัน ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองแยกกันชัดเจน เป็นการทำงานแบบกระจัดกระจาย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าและเกิดโอกาสผิดพลาดสูง
การทำงานแบบ DevOps เข้ามาเป็นตัวกลาง มุ่งเน้นไปที่การทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่นของทั้งสองทีม มีการรับผิดชอบร่วมกันมากขึ้น ส่งเสริมให้มีการทำงานเป็นทีมเดียวกันมากขึ้น ทำให้ทั้งทีมพัฒนาและทีมปฏิบัติการสามารถเข้าใจปัญหาของแต่ละฝ่ายได้ดีขึ้น ทุกฝ่ายสามารถเข้าใจภาพรวมของงานได้ ทำให้หน้าที่การแก้ไขปัญหาไม่ตกไปอยู่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และส่งผลให้เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน ให้สามารถส่งมอบซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพสูงให้กับผู้ใช้งานได้ดีขึ้น
ในการทำงานร่วมกันของทีมนักพัฒนาและทีมปฏิบัติการแบบใหม่ มีแพลตฟอร์มที่ใช้การทำงานภายใต้โมเดล DevOps หลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งแบบครบวงจรและแบบแพลตฟอร์มเฉพาะ ที่มักเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็เช่น GitLab, GitHub และ Jenkins โดยการทำงานในการพัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งเรียกกันว่า Software Development Life Cycle หรือ SDLC สามารถแบ่งได้หลายขั้นตอน แต่หลัก ๆ แล้วมีอยู่ด้วยกัน 6 กระบวนการหลัก คือ
1. การวางแผน (Planning): เป็นกระบวนการที่ต้องรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย เพื่อนำมาวิเคราะห์สำหรับการดำเนินงาน ก่อนที่จะวางแผนพัฒนาซอฟต์แวร์
2. การออกแบบระบบ (System Design): เมื่อวางแผนการพัฒนาเสร็จก็ถึงเวลาออกแบบระบบซอฟต์แวร์สำหรับใช้พัฒนา สร้างสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ ออกแบบโครงสร้างฐานข้อมูล อินเตอร์เฟซผู้ใช้ (UX/UI) กลไกความปลอดภัย ฯลฯ
3. การพัฒนา (Development/Implementation): เป็นขั้นตอนการเขียนโค้ด และใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อการสร้างระบบซอฟต์แวร์ตามที่ได้ออกแบบไว้
4. การทดสอบ (Testing): หลังจากการพัฒนาซอฟต์แวร์เสร็จเรียบร้อย ก็จะทำการทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่าตัวซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ไร้ข้อผิดพลาดใด ๆ
5. การปรับใช้ (Deployment): ขั้นตอนนี้จะนำซอฟต์แวร์ไปปรับใช้ในสภาพแวดล้อมจริง รวมถึงสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย เช่น สภาพแวดล้อมสำหรับการทดสอบ (Testing Environment) และสภาพแวดล้อมสำหรับการสาธิต (Staging Environment) เป็นต้น
6. การบำรุงรักษา (Maintenance): ระบบซอฟต์แวร์ยังคงจำเป็นต้องได้รับการดูแลและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงสามารถทำงานได้ดีและถูกต้อง
องค์กรหรือธุรกิจที่เลือกใช้การทำงานแบบ DevOps มักจะได้รับประโยชน์ต่าง ๆ ที่สามารถเห็นได้ชัดเจน ดังนี้
DevOps ช่วยให้การทำงานระหว่างทีมพัฒนาและทีมปฏิบัติการ รวมถึงการส่งมอบซอฟต์แวร์ให้กับลูกค้ามีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำการทดสอบและปรับปรุงการพัฒนาซอฟต์แวร์ส่งผลให้สามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานได้มากขึ้น จากที่แต่เดิมการจะปล่อยแต่ละฟีเจอร์นั้นจะใช้เวลาในการพัฒนาและทดสอบระบบค่อนข้างนาน
หน้าที่ของ DevOps คือการเข้ามาช่วยตรวจหาข้อผิดพลาดของระบบซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ ทีมพัฒนาสามารถดำเนินการแก้ไขได้ทันที ส่งผลให้ลดโอกาสในการส่งซอฟต์แวร์ที่มีข้อผิดพลาดออกไปได้ และลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่พบในภายหลังได้
เมื่อทีมสามารถผลิตและส่งมอบซอฟต์แวร์ที่ให้กับลูกค้าได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วกว่าเดิม ย่อมทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และถ้ายิ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่มีมาตรฐานสูงและไร้ข้อบกพร่อง ที่มีการรักษาคุณภาพผ่านการพัฒนาดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยทำให้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรได้
เนื่องจาก DevOps มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของระบบซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง จึงช่วยให้องค์กรสามารถระบุปัญหาการใช้งานของซอฟต์แวร์ที่เกิดขึ้นได้ และแก้ไขได้ทันก่อนที่ปัญหานั้นจะบานปลายและส่งผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียค่าใช้จ่ายในจำนวนมาก
เมื่อการใช้เทคโนโลยีมีการเติบโตและเข้ามามีบทบาทในโลกของธุรกิจมากยิ่งขึ้น หลายองค์กรที่ต้องการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพจึงต้องมีระบบการทำงานที่เอื้อต่อทั้งทีมพัฒนาและทีมปฏิบัติการที่ต้องทำงานร่วมกัน ให้สามารถทำงานได้อย่างคล่องตัว รวมถึงสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ดี ซึ่ง DevOps เข้ามาเป็นตัวกลางทำหน้าที่นี้ได้อย่างลงตัว