ในปี 2025 นี้ เรียกได้ว่าเราก้าวเข้าสู่ยุคของ AI กันแบบเต็มตัว โดยการนำ AI มาใช้ในชีวิตประจำวันของเรากลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่คำถามที่ว่า “ระหว่าง มนุษย์ กับ AI ใครจะชนะ?” หรือ “AI จะเข้ามาแทนที่การทำงานของมนุษย์หรือไม่?” ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มเข้ามาของ AI เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเอง The Gang Technology เลยพามาหาคำตอบให้ชัดเจนไปเลยว่าใครกันแน่ที่จะชนะในศึกนี้
AI เป็นการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้สามารถเลียนแบบพฤติกรรม และการกระทำเหมือนมนุษย์ได้ ซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะทำงานโดยอาศัยข้อมูลและคำสั่งที่ป้อนเข้าสู่ระบบอีกทีหนึ่ง ในแง่ของความรวดเร็วและแม่นยำ AI นับว่าสามารถทำได้ดีกว่าสติปัญญาของมนุษย์เป็นอย่างมาก เช่น ในเรื่องของการตัดสินใจ และการประมวลผล เป็นต้น
นอกจากนี้ AI ยังไม่เหนื่อยล้า ไร้ซึ่งความลำเอียง ดังนั้นนี่อาจทำให้ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของ AI มีคุณภาพมากกว่า จากตัวอย่างมากมายของปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน เช่น การตรวจสอบการฉ้อโกงทางดิจิทัล หรือการคัดลอกผลงาน ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่ามนุษย์ในด้านการจดจำเกือบทุกรูปแบบ
เนื่องจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกพัฒนาให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้บริการแบบขยายกำลัง (scale-up) ซึ่งทำให้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าการใช้มนุษย์หลายเท่าตัว เมื่อพูดแบบนี้แล้วอาจนึกภาพไม่ออก ให้ลองจินตนาการว่า เจ้าหน้าที่ 1 คน สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ทีละคน ในขณะที่ปัญญาประดิษฐ์แชตบอต (Chatbot) สามารถตอบคำถามลูกค้าพร้อมกันได้เป็นร้อย ๆ คน และ AI ก็ถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการคิดและทำมากขึ้นทุกวัน ๆ รวมถึงมีความฉลาด ซึ่งในที่นี้ก็คือ การมีความสามารถของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความคิด การใช้เหตุผล การเรียนรู้ การตัดสินใจ และความคิดสร้างสรรค์ แต่ “ความรู้สึก” เป็นความสามารถเดียวของมนุษย์ที่ AI ยังไม่มี
โดยสิ่งที่ AI สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ ยกตัวอย่างก็คือ งานที่ต้องทำซ้ำ ๆ เช่น การส่งอีเมล และการตรวจสอบหาคำผิด นอกจากนี้ AI ยังสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ไม่จำเป็นต้องหยุดพัก ต่างจากมนุษย์เราที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงระยะเวลา 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ในกรณีนี้เองก็นับเป็นการรุกรานด้านแรงงานของมนุษย์ ทำให้เกิดความกลัวว่าจะตกงานนั่นเอง
ถึงแม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีความสามารถมากเพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม AI ยังคงตามหลังมนุษย์อยู่ในด้านของการคิดที่ผนวกเข้ากับความรู้สึกต่าง ๆ ที่ซับซ้อน ทั้งการตระหนักรู้ในตนเอง ความหลงใหล และความปรารถนา แต่เทคโนโลยีอัจฉริยะแห่งยุค อย่างปัญญาประดิษฐ์ก็ยังคงมีหลายประการที่ความสามารถยังไม่เทียบเท่ากับมนุษย์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือทักษะด้าน Soft Skills เช่น
ทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership): AI ยังขาดทักษะจำเป็นในการเป็นผู้นำมากมาย เช่น การสร้างความเชื่อใจและความเชื่อมั่นภายในองค์กร เพราะ AI ไม่มีความเข้าใจด้านอารมณ์และความรู้สึก จึงไม่สามารถนำทีมไปสู่เป้าหมายได้
ทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Skill): เป็นทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนร่วมทีม ลูกค้า หรือคู่ค้าในการทำธุรกิจ และทักษะนี้เป็นการสื่อสารแบบสองฝั่ง นั่นก็คือต้องมีการโต้ตอบระหว่าง 2 ฝ่าย แต่ในปัจจุบัน AI สามารถสื่อสารได้ทางเดียว เช่น ตอบคำถาม เมื่อถูกถาม
ทักษะด้านความคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking): ถึงแม้ AI จะมีความสามารถในการให้เหตุผลเชิงซับซ้อนได้ แต่ยังคงขาดความละเอียดอ่อน และสามัญสำนึกแบบมนุษย์ และมนุษย์มีความสามารถด้าน Critical Thinking เพราะต้องเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ ความเข้าใจ และมุมมองที่หลากหลายในการประเมินสถานการณ์แต่ละครั้ง และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ซึ่งต่างจาก AI ที่จะวิเคราะห์ข้อมูลตามชุดคำสั่งที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้าเท่านั้น
ดังนั้นเอง AI จึงจะไม่สามารถมาแทนที่มนุษย์ได้ทั้งหมด เพราะว่างานบางประเภทยังคงต้องการทักษะของมนุษย์ที่ AI ไม่สามารถเข้ามาทำได้อยู่ และการที่เรามี AI ทำให้มีอาชีพใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่น นักพัฒนา AI เป็นต้น แต่มนุษย์และ AI สามารถทำงานร่วมกัน และช่วยส่งเสริมในด้านทักษะของกันและกันได้ ทำให้เกิดแนวคิด Augmented Intelligence ขึ้นมา โดยคำว่า “Augmented” หมายถึง “การเติมเต็มซึ่งกันและกัน” โดยเรียกได้ว่ามนุษย์และ AI จะทำงานร่วมกัน ตั้งแต่การพัฒนาและการใช้งาน เพื่อประสิทธิภาพที่สูงที่สุดเลยก็ว่าได้